จากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันส่งผลให้เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมาอีกมากมายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คงเป็นเรื่องมลพิษทางอากาศที่ ณ วันนี้หลายพื้นที่ของประเทศพบว่ามีค่าอนุภาคฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ของประเทศ นำไปสู่ผลกระทบต่อคนไทยทั้งทางด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยอีกมากกมาย
มาทำความรู้จักกับคำว่า PM 2.5 (พีเอ็ม 2.5)
ฝุ่นที่นักวิชาการเรียกว่า PM 2.5 (พีเอ็ม 2.5) คือฝุ่นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กมากจนเรามองไม่เห็น
ค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศโดยทั่วไปของประเทศไทย
ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 36 (พ.ศ. 2553) เรื่อง “กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป” ได้กำหนดค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนในบรรยากาศโดยทั่วไป ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน0.05 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือ 50ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในเวลา 1 ปีจะต้องไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากฝุ่นละอองขนาดเล็กฝุ่นละอองขนาดเล็ก
ปกติฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) จะเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ ซึ่งระบบทางเดินหายใจจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนบนคือ ช่องจมูกและหลอดลม และระบบทางเดินหายใจส่วนล่างคือ ท่อปอด (bronchial tubes) และปอด
- ฝุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 ไมครอนจะติดอยู่ที่โพรงจมูกและปากเท่านั้นไม่สามารถผ่านเข้าสู่หลอดลมได้
- ฝุ่นขนาด 5 -10 ไมครอนจะเข้าสู่หลอดลม(Trachea)และแขนงหลอดลม (Bronchus)
- ฝุ่น 2.5-5 ไมครอนจะเข้าสู่หลอดลมฝอย (Bronchioles), ถุงลม(Alveoli)และ
- ฝุ่นละเอียดขนาดเล็กกว่า 0.02 ไมครอนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านเส้นเลือดฝอยในปอด
ซึ่งฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายไปฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อปอดส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซของร่างกาย (Gas Exchange Regions) ทำให้เกิดแผลในเส้นเลือดแดงและทำให้สมรรถภาพในการยืดหยุ่นของเส้นเลือดแดงลดลง ทำให้เกิดโรคหัวใจ(Hearth Attack)และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหลอดลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease, COPD), โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis), โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema). โรคปอดอักเสบ ( Interstadials lung disease), โรคหอบหืด ( Asthma) เป็นต้น อีกทั้งฝุ่นละออกขนาดเล็กสามารถดูดซับและหักเหแสงได้ทำให้บดบังทัศนวิสัยทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงจนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายและอุบัติเหตุต่าง ๆ ตามมา
ข้อแนะนำสำหรับการดูแลและป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM 2.5
- ช่วยกันดูแล ไม่ให้เผาขยะ เศษใบไม้ กิ่งไม้ หญ้าทุกชนิด หรือสิ่งใดที่ทำให้เกิดฝุ่นมากยิ่งขึ้น
- ดับเครื่องยนต์ของยานพาหนะทุกชนิดทุกครั้งเมื่อจอด
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานพาหนะที่เป็นเครื่องยนต์หรือใช้ในกรณีจำเป็น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในลดมลพิษทางอากาศ
- ติดตามสถานการณ์มลพิษอยู่เสมอดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและหลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นPM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน
- รักษาความสะอาดโดยใช้น้ำสะอาดกลั้วคอ แล้วบ้วนทิ้งวันละ 3-4 ครั้ง
- งดเว้นการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมกลางแจ้งรวมถึงการทำงานหนักที่ต้องออกแรงมากในบริเวณที่มีฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน
- กรณีที่จำเป็นต้องอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่น ควรสวมใส่หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และควรเปลี่ยนใหม่หากหน้ากากสกปรกหรือเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก
- หากสูดดมและอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นเมื่อมีอาการผิดปกติของระบบหายใจและการมองเห็นควรรีบไปพบแพทย์ทันที
เอกสารอ้างอิง
จาก http://infofile.pcd.go.th/law/2_99_air.pdf?CFID=73740&CFTOKEN=31196864
ธิดารัตน์ ผลพิบูลย์, ดร. อิสรีย์ฐิกา ชัยสวัสดิ์ และ ศ. นพ. อนุวัตร รุ่งพิสุทธิพงษ์.(2557)ภัยในหน้าหนาวจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5), วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.ค้นจาก https://tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/25502
กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ.(2556).คำแนะนำในการปฏิบัติตัวและดูแลสุขภาพในสถานการณ์ปัญหาหมอกควัน.กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข