หมายความว่า การกระทำ หรือสภาพการทำงานซึ่งปลอดจากเหตุอันจะทำให้เกิดการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือความเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานหรือเกี่ยวกับการทำงาน
หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งนายจ้างแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน ระดับบริหาร ระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ
หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน
หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ควบคุม ดูแล บังคับบัญชาสั่งงานให้ลูกจ้างทำงานตามหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ
หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่มีระดับสูงกว่าหัวหน้างานขึ้นไปไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม
หมายความว่า คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ
หมายความว่า กรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ
หมายความว่า ลูกจ้างระดับบริหารซึ่งมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีการจ้าง การลดค่าจ้าง การเลิกจ้าง การให้บำเหน็จ การลงโทษ หรือการวินิจฉัยข้อร้องทุกข์และได้รับมอบหมายเป็นหนังสือให้กระทำการแทนนายจ้าง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
หมายความว่า ลูกจ้างระดับหัวหน้างานหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายจ้างให้เป็นกรรมการ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
หมายความว่า ผู้แทนลูกจ้างซึ่งเป็นลูกจ้างระดับปฏิบัติการที่ได้รับการเลือกตั้งจากฝ่ายลูกจ้างให้เป็นกรรมการ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
หมายความว่า หน่วยงานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานซึ่งนายจ้างให้ดูแลและปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ
หมายความว่า ที่ทำงานของนายจ้างแต่ละแห่งที่ประกอบกิจการแยกออกไปตามลำพังเป็นหน่วย ๆ และมีลูกจ้างทำงานอยู่
1. หน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน
2. หน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค
3. หน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคขั้นสูง
4. หน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ
5. หน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร
ทั้งนี้ หน่วยงานแห่งประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ลงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2549 สามารถขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยงานฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานหนึ่งระดับหรือหลายระดับได้
ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานฯ พ.ศ. 2549 มีการกำหนดสถานประกอบกิจการต้องมี จป. ดังนี้
1) การทำเหมืองแร่ เหมืองหิน กิจการปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมี
2) การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง เก็บรักษา ปรับปรุง ตกแต่ง เสริมแต่งดัดแปลง แปรสภาพ ทำให้เสีย หรือทำลายซึ่งวัตถุหรือทรัพย์สิน รวมทั้งการต่อเรือ การให้กำเนิดแปลง และจ่ายไฟฟ้าหรือพลังงานอย่างอื่น
3) การก่อสร้าง ต่อเติม ติดตั้ง ซ่อม ซ่อมบำรุง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร สนามบิน ทางรถไฟ ทางรถราง ทางรถใต้ดิน ท่าเรือ อู่เรือ สะพานเทียบเรือ ทางน้ำ ถนน เขื่อน อุโมงค์ สะพาน ท่อระบาย ท่อน้ำ โทรเลข โทรศัพท์ ไฟฟ้า ก๊าซหรือประปา หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ รวมทั้งการเตรียมหรือวางรากฐานของการก่อสร้าง
4) การขนส่งคนโดยสารหรือสินค้าโดยทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และรวมทั้งการบรรทุกขนถ่ายสินค้า
5) สถานีบริการหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซ
6) โรงแรม
7) ห้างสรรพสินค้า
8) สถานพยาบาล
9) สถาบันทางการเงิน
10) สถานตรวจทดสอบทางกายภาพ
11) สถานบริการบันเทิง นันทนาการ หรือการกีฬา
12) สถานปฏิบัติการทางเคมีหรือชีวภาพ
13) สำนักงานที่ปฏิบัติงานสนับสนุนสถานประกอบกิจการตาม ข้อ 1) ถึง 12)
14) กิจการอื่นตามที่กระทรวงแรงงานประกาศกำหนด
ในสถานประกอบกิจการตามข้อ 1) ถึง 5) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่สองคนขึ้นไป และสถานประกอบกิจการตามข้อ 6) ถึง 14) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่ยี่สิบคนขึ้นไป ต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างานของสถานประกอบกิจการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหารของสถานประกอบกิจการ
ในสถานประกอบกิจการตามข้อ 2) ถึง 5) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่ยี่สิบคนขึ้นไปแต่ไม่ถึงห้าสิบคนต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคประจำสถานประกอบกิจการ
ในสถานประกอบกิจการตามข้อ 2) ถึง 5) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่ห้าสิบคนขึ้นไปแต่ไม่ถึงหนื่งร้อยคนต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคขั้นสูงประจำสถานประกอบกิจการ
ในสถานประกอบกิจการตามข้อ 1) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่สองคนขึ้นไป และสถานประกอบกิจการตามข้อ 2) ถึง 5) ข้างต้นที่มีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไป ต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพประจำสถานประกอบกิจการ
โดยสรุปสถานประกอบกิจการใด ๆ จำเป็นต้องมี จป. และเป็น จป.ระดับใด ขึ้นอยู่กับประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการ และจำนวนลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ นอกจากนี้ ตามกฎหมายในสถานประกอบกิจการเดียวไม่มีสถานประกอบกิจการใดที่ต้องมี จป.ครบทั้ง 5 ระดับ จะมีเพียงบางสถานประกอบกิจการ ที่มี จป.2 ระดับ คือ จป.ระดับบริหาร และ จป.ระดับหัวหน้างาน และบางสถานประกอบกิจการที่มี จป.3 ระดับ คือ จป.ระดับบริหาร จป.ระดับหัวหน้างาน และ จป.ระดับเทคนิค หรือ จป.ระดับบริหาร จป.ระดับหัวหน้างาน และ จป.ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือ จป.ระดับบริหาร จป.ระดับหัวหน้างาน และ จป.ระดับวิชาชีพ
ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานฯ พ.ศ. 2549 กำหนดที่มาและคุณสมบัติของ จป.ระดับต่างๆ ดังนี้
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน มาจากการที่นายจ้างแต่งตั้งลูกจ้างระดับหัวหน้างานและมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) ผ่านการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
2) เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างานตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ลงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2540
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร มาจากการที่นายจ้างแต่งตั้งลูกจ้างระดับบริหารทุกคนและมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) ผ่านการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
2) เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหารตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ลงวันที่ 31มีนาคม พ.ศ. 2540
และในกรณีที่ไม่มีลูกจ้างระดับบริหาร ให้นายจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคมาจากการที่นายจ้างแต่งตั้งลูกจ้างคนหนึ่งและมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีสาขาอาชีวอนามัย หรือเทียบเท่า
2) เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน และผ่านการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
3) เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับพื้นฐานตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ลงวันที่ 31มีนาคม พ.ศ. 2540
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคขั้นสูงมาจากการที่นายจ้างแต่งตั้งลูกจ้างคนหนึ่งและมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีสาขาอาชีวอนามัย หรือเทียบเท่า
2) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูง อนุปริญญา หรือเทียบเท่า และผ่านการอบรมและทดสอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือเทียบเท่า และได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคหรือระดับพื้นฐานมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และผ่านการอบรมและทดสอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพมาจากการที่นายจ้างแต่งตั้งลูกจ้างอย่างน้อยหนึ่งคนและมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีสาขาอาชีวอนามัย หรือเทียบเท่า
2) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี และได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคขั้นสูงมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และผ่านการอบรมและทดสอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดจากหน่วยงานที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานรับรอง
3) เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ลงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2540 และผ่านการอบรมเพิ่มและทดสอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดจากหน่วยงานที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานรับรองในหลักสูตร ทั้งนี้ ภายในห้าปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานฯ พ.ศ. 2549 กำหนดหน้าที่ของ จป. ระดับ ต่าง ๆ ดังนี้
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) กำกับ ดูแล ให้ลูกจ้างในหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติตามข้อบังคับและคู่มือ
2) วิเคราะห์งานในหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อค้นหาความเสี่ยงหรืออันตรายเบื้องต้นโดยอาจร่วมดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือระดับวิชาชีพ
3) สอนวิธีการปฏิบัติงานที่ถูกต้องแก่ลูกจ้างในหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
4) ตรวจสอบสภาพการทำงาน เครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยก่อนลงมือปฏิบัติงานประจำวัน
5) กำกับ ดูแล การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของลูกจ้างในหน่วยงานที่รับผิดชอบ
6) รายงานการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานของลูกจ้างต่อนายจ้าง และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือระดับวิชาชีพ สำหรับสถานประกอบกิจการที่มีหน่วยงานความปลอดภัยให้แจ้งต่อหน่วยงานความปลอดภัยทันทีที่เกิดเหตุ
7) ตรวจสอบหาสาเหตุการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานของลูกจ้างร่วมกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือระดับวิชาชีพ และรายงานผล รวมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่อนายจ้างโดยไม่ชักช้า
8) ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมความปลอดภัยในการทำงาน
9) ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่นตามที่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหารมอบหมาย
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) กำกับ ดูแล เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานทุกระดับซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร
2) เสนอแผนงานโครงการด้านความปลอดภัยในการทำงานในหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อนายจ้าง
3) ส่งเสริม สนับสนุน และติดตามการดำเนินงานเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานให้เป็นไปตามแผนงานโครงการเพื่อให้มีการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่เหมาะสมกับสถานประกอบกิจการ
4) กำกับ ดูแล และติดตามให้มีการแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่ได้รับรายงานหรือตามข้อเสนอแนะเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานคณะกรรมการ หรือหน่วยงานความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) ตรวจสอบและเสนอแนะให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
2) วิเคราะห์งานเพื่อชี้บ่งอันตราย รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและขั้นตอนการทำงานอย่างปลอดภัยเสนอต่อนายจ้าง
3) แนะนำให้ลูกจ้างปฏิบัติตามข้อบังคับและคู่มือ
4) ตรวจสอบหาสาเหตุการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงาน และรายงานผล รวมทั้งเสนอแนะต่อนายจ้างเพื่อป้องกันการเกิดเหตุโดยไม่ชักช้า
5) รวบรวมสถิติ จัดทำรายงาน และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานของลูกจ้าง
6) ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่นตามที่นายจ้างมอบหมาย
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคขั้นสูง มีหน้าที่ต่อไปนี้
1) ตรวจสอบและเสนอแนะให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
2) วิเคราะห์งานเพื่อชี้บ่งอันตราย รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและขั้นตอนการทำงานอย่างปลอดภัยเสนอต่อนายจ้าง
3) วิเคราะห์แผนงานโครงการ รวมทั้งข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ และเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยในการทำงานต่อนายจ้าง
4) ตรวจประเมินการปฏิบัติงานของสถานประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนงานโครงการ หรือมาตรการความปลอดภัยในการทำงาน
5) แนะนำให้ลูกจ้างปฏิบัติตามข้อบังคับและคู่มือ
6) แนะนำ ฝึกสอน อบรมลูกจ้าง เพื่อให้การปฏิบัติงานปลอดจากเหตุอันจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงาน
7) ตรวจสอบหาสาเหตุและวิเคราะห์การประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงาน และรายงานผล รวมทั้งเสนอแนะต่อนายจ้างเพื่อป้องกันการเกิดเหตุโดยไม่ชักช้า
8) รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ข้อมูล จัดทำรายงาน และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานของลูกจ้าง
9) ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่นตามที่นายจ้างมอบหมาย
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) ตรวจสอบและเสนอแนะให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
2) วิเคราะห์งานเพื่อชี้บ่งอันตราย รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันหรือขั้นตอนการทำงานอย่างปลอดภัยเสนอต่อนายจ้าง
3) ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการทำงาน
4) วิเคราะห์แผนงานโครงการ รวมทั้งข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ และเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยในการทำงานต่อนายจ้าง
5) ตรวจประเมินการปฏิบัติงานของสถานประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนงานโครงการหรือมาตรการความปลอดภัยในการทำงาน
6) แนะนำให้ลูกจ้างปฏิบัติตามข้อบังคับและคู่มือ
7) แนะนำ ฝึกสอน อบรมลูกจ้างเพื่อให้การปฏิบัติงานปลอดจากเหตุอันจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงาน
8) ตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือดำเนินการร่วมกับบุคคลหรือหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นผู้รับรองหรือตรวจสอบเอกสารหลักฐาน รายงานในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทำงานภายในสถานประกอบกิจการ
9) เสนอแนะต่อนายจ้างเพื่อให้มีการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่เหมาะสมกับสถานประกอบกิจการ และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
10) ตรวจสอบหาสาเหตุ และวิเคราะห์การประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงาน และรายงานผล รวมทั้งเสนอแนะต่อนายจ้างเพื่อป้องกันการเกิดเหตุโดยไม่ชักช้า
11) รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ข้อมูล จัดทำรายงาน และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงานของลูกจ้าง
12) ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่นตามที่นายจ้างมอบหมาย
นอกจากหมั่นดูแลบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พร้อมใช้และปลอดภัยอยู่เสมอแล้ว ช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่สภาพอากาศอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ส่งผลกระทบให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักขึ้น เป็นเหตุให้เสียค่าไฟฟ้าแพงขึ้น แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้ค่าไฟลดลงบ้าง ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย มาดูกันเลยครับ
การใช้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการประหยัดพลังงาน ยึดหลัก ปิด ปลด ปรับ เปลี่ยน
1. ปิดสวิตช์ไฟแสงสว่างดวงที่ไม่ใช้งาน
2. ปิดประตูตู้เย็นให้สนิท ไม่กักตุนอาหารในตู้เย็นเกินความจำเป็น
3. ปลดหรือดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า เมื่อไม่ได้ใช้งาน
4. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ที่ 26 องศา หมั่นล้างเครื่องปรับอากาศ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
5. ปรับพฤติกรรม ไม่เปิดตู้เย็นบ่อยๆ พกกระติกน้ำแข็งไว้ดื่ม
6. เปลี่ยนยางขอบตู้เย็น หากพบว่าชำรุดหรือปิดไม่สนิท
7. เปลี่ยนใช้หลอดไฟ LED หรือเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้า
8. เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง (SEER)
ความปลอดภัยการใช้ไฟฟ้าฤดูร้อน
สำคัญมากการเสียบปลั๊กหรือใช้ปลั๊กพ่วง ควรหลีกเลียงการเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น เพราะจะทำให้ปลั๊กไฟใช้งานเกินพิกัดกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกัน เช่นฟิวส์ อาจไม่ตัดกระแส แต่อาจส่งผลให้ปลั๊กหรือเต้ารับเกิดความร้อน ขณะที่อุณหภูมิอากาศที่ร้อนอยู่แล้ว แล้วอาจส่งผลปฏิกิริยาเพลิงลุกไหม้ได้นะครับ
แบบนี้จะทำให้ใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยและก็ประหยัดไฟด้วยนะ โซฮอตแค่ไหน ค่าไฟก็น้อยลง
การเข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการ ฝนก็มักตกต่อเนื่อง เปียกแฉะอับชื้นแบบนี้ รู้ไหมครับว่ามีอะไรบ้างที่ควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในหน้าฝน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เครื่องใช้เสีย หรืออาจอันตรายถึงชีวิตได้เลย เรามาดูกันเลยครับ
1. เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์
ทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ ตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์ และเครื่องซักผ้าชนิดควบคุมอัตโนมัติ เหล่านี้เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการความเสถียรสูง ไม่ควรเปิดใช้งานในขณะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ฝ้าร้อง เพราะหากเกิดฟ้าผ่าขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดไฟตกไฟกระชากไหลเข้าตามสายไฟในบ้าน และไหลเข้าวงจรเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจทำให้วงจรเสียหายเฉียบพลันได้ ทางที่ดีควรปิดเครื่องและถอดปลั๊กออกเป็นดีที่สุด เครื่องปรับอากาศก็สับเบรกเกอร์ลง ตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์ก็เช่นเดียวกัน แต่อย่าลืมเสียบปลั๊กอย่างเดิมนะครับ
2. เครื่องใช้ไฟฟ้าภาคสนาม
กริ่งประตู ไฟรั้ว ไฟสนาม ป้ายไฟ หรือประตูรั้วไฟฟ้า ประเภทนี้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานกลางแจ้ง กันน้ำได้บ้าง ตามมาตรฐานสภาพแวดล้อมโดนแดดโดนฝนมากเข้า ชิ้นส่วนก็เสียหาย อาจทำให้ไฟฟ้ารั่ว และไฟดูดเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ฉะนั้นแล้วควรตรวจตราดูความผิดปกติ
3. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียงต่อน้ำท่วมขัง
พอฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมขัง นี่แหละอันตรายอันดับหนึ่ง เพราะถ้าน้ำท่วมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า สายไฟ หรือปลั๊กไฟ ก็อาจเกิดไฟดูดได้ง่ายมาก ดังนั้นถ้าน้ำเริ่มท่วมขังในบ้านเมื่อไร ควรสับคัทเอาท์ตัดไฟฟ้าก่อนเป็นการชั่วคราว และถ้าจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ก็ควรสวมรองเท้าบูทยางป้องกันด้วยครับ
จากประสบการณ์งานซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของผู้เขียน ส่วนใหญ่จะพังเสียหายจากไฟกระชาก(ฟ้าผ่า) หรือมีสัตว์ที่เข้าหาที่อบอุ่นอาศัยส่วนใหญ่ก็ในอุปกรณ์ไฟฟ้า ถ้ามีช่องให้มันเข้าไปได้นะ ก็อาจไปทำลายวงจรไฟฟ้า จนเป็นเหตุไฟรั่วหรือลัดวงจรในที่สุด
ปัจจุบันเครน(ปั้นจั่น) จัดว่าเป็นเครื่องจักรกลที่มีบทบาทมากในงานยกเคลื่อนย้ายวัสดุ ผู้ประกอบการต่างๆไม่ว่าจะเป็นส่วนงานอุตสาหกรรม หรืองานก่อสร้าง ต่างก็เลือกใช้เครนชนิดต่างๆให้เหมาะสมกับงานยกตามประเภทของงานนั้นๆ แต่ไม่ว่าเครนจะนำมาใช้ยกอะไร สิ่งที่สำคัญในการยกครั้งนั้นอาจจำเป็นต้องมีตัวช่วยในการยก นั่นก็คือ “อุปกรณ์ช่วยยก” อาทิเช่น ลวดสลิง, โซ่ยก, สลิงผ้าใบ, สเก็น, อายโบล์ท, มาสเตอร์ลิงค์, คานยก ,ตะขอยก ฯลฯ ซึ่งสำหรับตัวเครนเองจะมีระบบความปลอดภัยมาควบคุม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกฎหมาย หรือในส่วนของวิศวกรมาทดสอบทุกปี แต่ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์ช่วยยก ไม่ได้ถูกระบุไว้ว่าเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของเครนตัวนั้นๆ ดังนั้นระบบความปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์ช่วยยกจึงถูกมองข้ามไป ไม่ว่าเรื่องของกฎหมาย หรือการทดสอบโดยวิศวกร
บทความนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้เครนตระหนักด้านการใช้งานอุปกรณ์ช่วยยกให้มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยมากที่สุด โดยที่ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหัวข้อที่เป็นปัจจัยหลักดังนี้
ขีดจำกัดในการใช้งานอุปกรณ์ช่วยยก : อุปกรณ์ช่วยยกทุกชนิดมีทั้งแบบที่ผลิตมาตามมาตรฐาน และไม่มีมาตรฐาน เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานจึงจำเป็นต้องทราบว่าอุปกรณ์ช่วยยกแต่ละชนิดผู้ผลิตได้บอกขีดความสามารถ ในการใช้งานสูงสุดไว้อยู่ในรูปแบบใด ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตมาตามมาตรฐานก็จะมีบอกไว้เป็นเอกสาร หรือบอกที่ตัวอุปกรณ์โดยตรง แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีมาตรฐานการผลิต ผู้ใช้งานก็ไม่สามารถทราบได้ว่าขีดความสามารถสูงสุดใช้ได้เท่าใด จึงแนะนำว่าไม่ควรนำมาใช้งาน
ลักษณะท่าทางในการผูกมัดยึดเกาะที่ถูกวิธี : อุปกรณ์ช่วยยกทุกชนิด ผู้ผลิตจะมีข้อแนะนำในการใช้งานที่ถูกวิธี ซึ่งวิธีการผูกมัดหรือยึดเกาะต่างๆ อาจมีผลทำให้ความแข็งแรงของอุปกรณ์แต่ละชนิดลดลง หรือเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ดังนั้นผู้ใช้งานต้องศึกษาลักษณะท่าทางในการผูกมัดยึดเกาะที่เหมาะสมกับหน้างาน โดยอ้างอิงจากข้อแนะนำจากผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด เพราะอุปกรณ์บางชนิดมีความเสี่ยงสูงมากถ้าเกิดมีการผู้มัดยึดเกาะที่ผิดวิธี หรือนอกเหนือจากข้อแนะนำ ของผู้ผลิต
เกณฑ์การยกเลิกการใช้ : ตามมาตรฐานสากลจะมีบอกไว้ว่าอุปกรณ์ช่วยยกแต่ละชนิดที่มีมาตรฐานการผลิต จะต้องมีเกณฑ์การยกเลิกการใช้งานอยู่ในลักษณะสภาพแบบใด ผู้ใช้งานควรจำเป็นต้องศึกษาให้ทราบ เพื่อที่จะทำ การยกเลิกการใช้งาน และจำหน่ายทิ้งก่อนที่อุปกรณ์ดังกล่าวจะเสียหายจากการใช้งานจริง
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานที่ผู้ใช้งานเครนควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหัวข้อที่กล่าวมา ซึ่งในประเทศไทยยังคงมีอุบัติเหตุที่มาจากการใช้อุปกรณ์ช่วยยกแบบผิดๆอยู่ ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในงานโดยตรงตามกฎหมาย เช่นผู้ยึดเกาะวัสดุ หรือผู้ควบคุมการใช้ปั้นจั่น ปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยต่อไป
อาจารย์ชวนะ วงศ์สหาก (เขียน / เรียบเรียง)
การจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานในสถานประกอบกิจการ เพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากการทำงาน ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนทุกระดับที่จะต้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการตรวจตรา และเฝ้าระวังสภาพการทำงานและสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ผู้ปฏิบัติงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนในการทำงานที่ปลอดภัย หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ตลอดจนสร้างความร่วมมือของผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับ ที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้มีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงาน ดังนั้น เพื่อให้สถานประกอบกิจการสามารถบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2549 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2549 จึงกำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ ในประเภทกิจการดังต่อไปนี้
1. การทำเหมืองแร่ เหมืองหิน กิจการปิโตรเลียม หรือปิโตรเคมี
2. การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง เก็บรักษา ปรับปรุง ตกแต่ง เสริมแต่ง ดัดแปลง แปรสภาพ ทำให้เสีย หรือทาลายซึ่งวัตถุหรือทรัพย์สิน รวมทั้งการต่อเรือ การให้กำเนิด แปลงและจ่ายไฟฟ้าหรือพลังงานอย่างอื่น
3. การก่อสร้าง ต่อเติม ติดตั้ง ซ่อม ซ่อมบำรุง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร สนามบินทางรถไฟ ทางรถราง ทางรถใต้ดิน ท่าเรือ อู่เรือ สะพานเทียบเรือ ทางน้ำ ถนน เขื่อน อุโมงค์ สะพาน ท่อระบายน้ำ ท่อน้ำ โทรเลข โทรศัพท์ ไฟฟ้า ก๊าซ หรือประปา หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ รวมทั้งการเตรียมหรือวางฐานรากของการก่อสร้าง
4. การขนส่งคนโดยสารหรือสินค้าทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และรวมทั้งการบรรทุกขนถ่ายสินค้า
5. สถานีบริการและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซ
6. โรงแรม
7. ห้างสรรพสินค้า
8. สถานพยาบาล
9. สถาบันทางการเงิน
10. สถานตรวจทดสอบทางกายภาพ
11. สถานบริการบันเทิง นันทนาการ หรือกีฬา
12. สถานปฏิบัติการทางเคมีหรือชีวภาพ
13. สำนักงานที่ปฏิบัติงานสนับสนุนสถานประกอบกิจการตาม 1 – 12
14. กิจการอื่นตามที่กระทรวงแรงงานประกาศกำหนด
ข้อมูลสถิติของกองทุนเงินทดแทนสำนักงาน ประกันสังคม กระทรวงแรงงานพบว่าสถานประกอบกิจการที่ ประสบอันตรายสูงในแต่ละปี ได้แก่ “กิจการประเภท ก่อสร้าง อุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้นั่งร้านในการซ่อมบำรุง ฯ ” ซึ่งการประสบอันตรายดังกล่าวมาจากหลายสาเหตุ ด้วยกัน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับนั่งร้าน จะ ประสบอุบัติเหตุมากที่สุดจากการตกจากที่สูง นั่งร้านพัง ล้ม ถล่ม
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน และลดอุบัติเหตุจากการทํางานเกี่ยวกับนั่งร้าน การอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความ ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อพนักงานได้นําความรู้ความเข้าใจ
และนำไปปฏิบัติในภาคสนามจะช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากนั่งร้าน ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจากการทํางานไม่ สามารถลดให้เป็นศูนย์ได้แต่การลดความเสี่ยง และอุบัติเหตุให้น้อยลงที่สุดนั้น
สามารถกระทำได้ ดังนี้
1. อบรมความรู้ กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร และการจัดการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ.2551
2. อบรมความรู้ถึงความหมาย มาตรฐาน และประเภทของนั่งร้าน
3. อบรมอันตรายที่เกิดจากขั้นตอนการประกอบ และติดตั้งนั่งร้านด้วยความปลอดภัย ฯ
4. อบรมเรียนรู้การตรวจสอบ ติดตั้ง นั่งร้าน และการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ฯ
5. อบรมระบบการจัดการขออนุญาตการทำงานนั่งร้าน ตั้งแต่ขั้นตอนประกอบ ติดตั้ง และรื้อถอน
นั่งร้าน ด้วยความปลอดภัย
บริษัท ฯ เสนอการฝึกอบรม หลักสูตร “ ความปลอดภัยในการทำงานนั่งร้าน ” ซึ่งจะทำให้พนักงานใน
สถานประกิจการมีความรู้ พัฒนาทักษะ ในการทำงานจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ ร่วมถึงการสูญเสียทรัพยสิน
ทั้งทางตรง ทางอ้อม ฯ หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับบุคคลที่ประกอบ ติดตั้งนั่งร้าน ในงานก่อสร้าง และ
งานต่อเติม ซ่อมบำรุง ภายในโรงงานอุตสาหกรรม ฯ
ขนาดของสารเคมีที่ทำให้สัตว์ทดลองตาย
Lethal Dose หมายถึง ขนาดของสารเคมีที่สัตว์ทดลองได้รับเพียง 1 ครั้งทำให้สัตว์ทดลองตาย โดยคิดเป็นร้อยละการตาย
Lethal Dose50 หมายถึง ขนาดของสารเคมีที่สัตว์ทดลองได้รับทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 หรือขนาดของสารเคมีที่ทำให้สัตว์ทดลองตายเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนสัตว์ทดลองทั้งหมด เราเรียกว่า LD50
มาตรฐานของสารพิษในบรรยากาศ (Threshold Limit Value ; TLV)
คือ ระดับสารเคมีที่ผู้ประกอบอาชีพสามารถรับสัมผัสได้ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติงาน โดยไม่เกิดผลไม่พึงประสงค์ใด ๆ ต่อสุขภาพ ค่า TLV เป็นค่าชี้แนะเท่านั้น จำแนกได้ 3 ประเภท คือ
1. Threshold Limit Value – Time Weighted Average (TLV – TWA) หมายถึง ค่าความเข้มข้นของสารเคมีในอากาศที่ปลอดภัยสำหรับผู้ประกอบอาชีพจะได้รับในระยะเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมงทำงานติดต่อกันใน 1 วัน เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์
2. Threshold Limit Value – Short Term Exposure Limit (TLV – STEL) หมายถึง ค่าความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีในอากาศที่ปลอดภัยสำหรับผู้ประกอบอาชีพจะได้รับในระยะเวลา 15 นาที และได้รับซ้ำกันไม่เกิน 4 ครั้ง ใน 1 วัน แต่ละครั้งต้องห่างกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
3. Threshold Limit Value – Ceiling Exposure Limit (TLV – C) หมายถึง ค่าความเข้มข้นสูงสุดที่ผู้ประกอบอาชีพได้รับขณะปฏิบัติงาน ระดับจะสูงเกินกว่าค่าความเข้มข้นนี้ไม่ได้
มาตรฐานของสารพิษในร่างกาย (Biological exposure index ; BEIs)
คือ ค่าความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีในร่างกายที่ยอมให้มีได้ เพื่อความปลอดภัย ซึ่งค่าความเข้มข้นเหล่านี้ได้จากการตรวจวัดและวิเคราะห์สารคัดหลั่งตัวอย่างที่เก็บมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น โลหิต ปัสสาวะ น้ำนม เล็บ ฟัน เส้นผม เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าที่แสดงระดับของสิ่งที่ต้องการตรวจวัด เพื่อระบุผู้ประกอบอาชีพที่ได้รับจากสารเคมีในงานอุตสาหกรรม ค่าดังกล่าวจะใช้ในการปฏิบัติงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ระยะเวลานาน 5 วันต่อสัปดาห์
1. พิจารณานโยบายและแผนงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยนอกงาน เพื่อป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ การประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือการเกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องจากการทำงาน หรือความไม่ปลอดภัยในการทำงานเสนอต่อนายจ้าง
2. รายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานและมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานต่อนายจ้าง เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ผู้รับเหมา และบุคคลภายนอกที่เข้ามาปฏิบัติงานหรือเข้ามาใช้บริการในสถานประกอบกิจการ
3. ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการ
4. พิจารณาข้อบังคับและคู่มือว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการเสนอต่อนายจ้าง
5. สำรวจการปฏิบัติการด้านความปลอดภัยในการทำงาน และตรวจสอบสถิติการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการนั้น อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
6. พิจารณาโครงการหรือแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงโครงการหรือแผนการอบรมเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านความปลอดภัยของลูกจ้าง หัวหน้างาน ผู้บริหาร นายจ้าง และบุคลากรทุกระดับ เพื่อเสนอความเห็นต่อนายจ้าง
7. วางระบบการรายงานสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยให้เป็นหน้าที่ของลูกจ้างทุกคนทุกระดับต้องปฏิบัติ
8. ติดตามผลความคืบหน้าเรื่องที่เสนอต่อนายจ้าง
9. รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี รวมทั้งระบุปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเมื่อปฏิบัติหน้าที่ครบ 1 ปี เพื่อเสนอต่อนายจ้าง
10. ประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการ
11. ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่นตามที่นายจ้างมอบหมาย
การปฏิบัติหน้าที่ด้านความปลอดภัยในการทำงานของคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานในสถานประกอบกิจการ ต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ จึงต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด และแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่นั้น
1. การขาดออกซิเจน สาเหตุใหญ่ของการตายในสถานที่อับอากาศ คือ ขาดออกซิเจนในการหายใจ หมายถึง ปริมาณออกซิเจนในสถานที่อับอากาศนั้นน้อยกว่า 19.5 Vol.% หรือมากกว่า 23.5 Vol.% สาเหตุเกิดจากมีการติดไฟ หรือ การระเบิด ไฟจะใช้ออกซิเจนเพื่อการลุกไหม้ การแทนที่ออกซิเจนด้วยก๊าซอื่น เช่น มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน เป็นต้น เกิดการกัดกร่อน หรือ การเกิดสนิม เหล็กใช้ออกซิเจนจากอากาศไปในการเกิดสนิม และ การที่ออกซิเจนถูกใช้ไปในปฏิกิริยาหมัก
2. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ สาเหตุสำคัญของการตายในสถานที่อับอากาศอีกสาเหตุหนึ่งคือ การเกิดไฟ และการระเบิด โดยมีก๊าซ ไอ ละอองที่ติดไฟหรือระเบิดได้ เกินกว่าร้อยละ 10 ของค่าความเข้มข้นขั้นต่ำของสารเคมีแต่ละชนิดในอากาศที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ (Lower Flammable Limit หรือ Lower Explosive Limit) และมีฝุ่นที่ทำให้ติดไฟหรือระเบิดได้ ซึ่งมีค่าความเข้มข้นเท่ากับหรือมากกว่าค่าความเข้มข้นขั้นต่ำของสารเคมีแต่ละชนิดในอากาศที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ (LEL) สิ่งก่อเหตุคือ สารเคมี สี ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม สารทำละลาย หรือวัตถุจากธรรมชาติ สามารถทำให้เกิดการระเบิดได้ ไอหรือก๊าซที่ทำให้เกิดเปลวไฟ ในสถานที่อับอากาศสามารถเกิดประกายไฟขึ้นได้ จากการกระทำดังนี้ การเกิดไฟฟ้าช็อต การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ป้องกันการเกิดประกายไฟ การขัด การสูบบุหรี่ การเชื่อมโลหะ
3. สารพิษ เป็นอันตรายเมื่อมีค่าความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดเกินมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย สารพิษหลายชนิดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หรือได้กลิ่น สามารถทำให้เกิดอันตรายใหญ่ๆ ได้ 2 แบบ ในสถานที่อับอากาศ คือ การระคายเคือง ถึงแม้จะมีสารพิษเพียงเล็กน้อย แต่ก็อาจมีผลกับระบบทางเดินหายใจ หรือระบบประสาทและฆ่าคุณได้ การขาดออกซิเจนจากสารเคมี เมื่อสารเคมีเป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สามารถไปหยุดการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย หรือนำไปสู่ปอด และทำให้ร่างกายคุณขาดออกซิเจน เกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้ ก๊าซพิษที่ทำให้เกิดอันตรายในสถานที่อับอากาศบ่อย ๆ คือคาร์บอนมอนนอกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้ สามารถทำให้ตายได้ โดยการเข้าไปแทนที่ออกซิเจนในเลือด ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีกลิ่นเหม็น และมีพิษ แม้จะมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เกิดในขบวนการอุตสาหกรรม สามารถทำให้หยุดการหายใจ ถ้าเข้าไปในร่างกาย
4. อันตรายทางกายภาพ ส่วนของเครื่องจักรที่เคลื่อนไหว ถ้าอยู่ในสถานที่อับอากาศยิ่งจะมีอันตรายมาก ส่วนของเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวจะต้องถูกล็อคใส่กุญแจ และแขวนป้ายก่อนที่จะเข้าไปทำงานในบริเวณนั้น วาวล์หรือท่อ ทำให้เกิดอันตราย ถ้ามีก๊าซ หรือของเหลวไหลผ่านอาจทำให้เกิดการระเบิด จมน้ำ เกิดพิษ หรือ น้ำร้อนลวก ฯลฯ การถูกดูดจมจะเกิดที่ไซโลที่เก็บเมล็ดพืชผล การขึ้นไปเดินบนเมล็ดพืชผลนั้น อาจทำให้ล้มลงและดูดจมลงไปในเมล็ดพืชผลนั้น เกิดการขาดอากาศหายใจ เสียงดัง ทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร หรือถึงแม้จะเป็นการชั่วคราวก็จะทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงที่จะบอกทิศทางที่สำคัญ หรือการระวังอันตราย ตกจากที่สูง ในสถานที่อับอากาศ เมื่อมีปริมาณออกซิเจน หรือก๊าซพิษ คนทำงานเกิดอาการขาดออกซิเจน เกิดพิษหรือการแกว่งไปมาของบันไดที่ใช้ปีนทำงานแล้วตกลงสู่เบื้องล่าง ไฟฟ้าดูดขณะทำงานอาจพลาดไปจับส่วนของอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มีกระแสไฟรั่วไหลเกิดการดูดช็อต ความร้อน สามารถเกิดได้รวดเร็วในสถานที่อับอากาศ ทำให้เกิดการเสียเหงื่อมากจนถึงขั้นวิงเวียนหน้ามืด (Heat Stroke) ได้ แสงจ้า มีการทำงานในสถานที่อับอากาศโดยมีการเชื่อมโลหะ ถ้ามองดูแสงจ้านั้นด้วยตาเปล่าจะเกิดอันตรายกับดวงตา
หลักปฏิบัติเมื่อทำงานในสถานที่อับอากาศ
• เพื่อความปลอดภัยสำหรับการทำงานในสถานที่อับอากาศ นายจ้างจะต้องปฏิบัติตามรายละเอียดต่อไปนี้ ก่อนอนุญาตให้ลูกจ้างปฏิบัติงานในสถานที่อับอากาศ ต้องมีการตรวจสอบปริมาณออกซิเจน สารเคมีและสิ่งปนเปื้อนในสถานที่อับอากาศว่าจะทำให้เกิดการขาดออกซิเจน การระเบิดและการเป็นพิษหรือไม่ และเก็บบันทึกผลการตรวจไว้ให้เจ้าหน้าที่แรงงานสามารถตรวจสอบได้
• ให้ทำการระบายอากาศให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ถ้าตรวจสอบพบว่ามีปริมาณออกซิเจน ต่ำกว่าร้อยละ 19.5 โดยปริมาตร หรือสารเคมีที่ติดไฟได้ในปริมาณเข้มข้นกว่าร้อยละ 20 ของความเข้มข้นต่ำสุด ที่จะติดไฟหรือระเบิดได้ หรือสารเคมีอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเกินกว่าค่าความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย
• นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ช่วยหายใจ เข็มขัดนิรภัย สายชูชีพ และอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพการทำงานตามมาตรฐานกรมแรงงานยอมรับให้ลูกจ้างใช้
• ต้องจัดให้มีใบอนุญาต ให้ลูกจ้างเข้าทำงานในที่อับอากาศทุกครั้ง ตามแบบที่อธิบดีกำหนด
ข้อกำหนดที่นายจ้างต้องปฏิบัติระหว่างที่อนุญาตให้มีการทำงานในสถานที่อับอากาศ
• ต้องตรวจสอบสภาพอากาศเป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้เกินมาตรฐาน ต้องขจัดหรือระบายอากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
• จัดให้มีคนช่วยเหลือ หรือผู้ที่ผ่านการอบรมช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย คอยดูแล และเฝ้าที่ปากทางเข้า - ออก สถานที่อับอากาศ ตลอดเวลาและสามารถติดต่อสื่อสารกับลูกจ้างที่ทำงานในสถานที่อับอากาศได้ พร้อมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่เหมาะสม ตามลักษณะของงาน และคอยให้ความช่วยเหลือลูกจ้างได้ทันทีตลอดเวลาการทำงาน
• อุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ประกอบที่ใช้ในสถานที่อับอากาศ ต้องเป็นชนิดที่สามารถป้องกัน ความร้อน ฝุ่น การระเบิด การลุกไหม้ และไฟฟ้าลัดวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องจัดให้มีการเดินสายไฟฟ้าในสถานที่อับอากาศด้วยวิธีที่ปลอดภัย
• นายจ้างต้องจัดให้มีผู้ควบคุมงานที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ เช่น วางแผนปฏิบัติงาน และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และอบรมสอนงาน ควบคุมดูแลให้ ลูกจ้างใช้ตรวจตรา เครื่องป้องกันและอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย ที่ให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะทำงาน
• ให้นายจ้างกำหนดข้อห้าม และควบคุมต่าง ๆ เช่น ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามก่อไฟ ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ถ้าเป็นช่องโพรง ต้องปิดกั้นไม่ให้คนตกลงไป และจัดให้มีป้ายแจ้งข้อความ "บริเวณอันตรายห้ามเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต" ปิดประกาศไว้ในบริเวณสถานที่อับอากาศซึ่งมองเห็นชัดอยู่ตลอดเวลา
ในปัจจุบัน การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในประเทศมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความหลากหลายในด้านการทำงานทั้งด้านการก่อสร้าง งานเกี่ยวกับสารเคมีและงานประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย งานหนึ่งที่ต้องมาพูดถึงในบทความนี้คือ งานที่มีความเสี่ยงตกจากที่สูง จากสถิติจากทดแทนมีผู้เสียชีวิตใน ปี 2558 มีผู้เสียชีวิต 98 คน รองมาจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งงานที่เกี่ยวกับงานที่สูงมีหลายลักษณะมากมาย บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทำงานบนที่สูงแล้ว
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงานบนที่สูงที่พบได้มากที่สุด หรืออยู่ในระดับต้น ๆ คือการพลัดตกจากที่สูงและอันตรายร้ายแรงที่สุดคือเสียชีวิตรองลงมาคือพิการ สาเหตุของการตกจากที่สูง นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ ความพร้อมของอุปกรณ์ความปลอดภัยและความรู้ความเข้าในเรื่องความปลอดภัยแล้วอีกปัจจัยหนึ่ง มาจากบุคลากรที่ปฏิบัติงาน ได้แก่ หน้ามืด , เป็นลมหรือปัญหาสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานในที่สูงนายจ้างจะต้อง
1. ต้องได้รับการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากทำงานที่สูง
2. สถานที่ที่จะปฏิบัติงานต้องมีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากการตกจากที่สูงเช่น ราวกันตก , Full body Harness และอื่น ๆ
3. การตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ ที่จะปฏิบัติงานและความพร้องของอุปกรณ์
อย่างที่กล่าวมานายจ้างควรจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ตามความปลอดภัยที่กำหนดไว้ โดยให้ลูกจ้างทุกคนเข้ารับการอบรมเพื่อให้รู้ถึงอันตราย แนวทางการป้องกันและอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในงานที่สูงในหลายๆ ลักษณะงาน
ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องป้องกันการตกจากการทำงานที่สูง ได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยและวิศวกร มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในการทำงาน ซึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานที่สูงนั้น ทางสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานThailand Institute of Occupational Safety and Health (สสปท.)ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางการส่งเสริมเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ในการทำงานบนที่สูงปี 2561 ดังนั้นนายจ้างหรือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานทุกระดับควรจะต้องศึกษาและหาข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อนำมาปฏิบัติใช้ในสถานประกอบการของตัวเองให้เกิดประโยชน์และให้สอดคล้องกับกฎหมาย
ดังนั้น นายจ้างจึงควรเห็นความสำคัญเรื่องความปลอดภัยให้แก่ลูกจ้าง ควรส่งพนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการทำงานที่มีความเสี่ยงเกิดจากการตกเข้าอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเพื่อให้เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันการตกได้อย่างถูกต้อง
ประกาศกระทรวงแรงงาน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม ให้สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร เป็นสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะซึ่งต้องดำเนินการโดยผู้ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ หากฝ่าฝืนทำงานโดยไม่มีหนังสือรับรองจะมี ความผิดตามกฎหมาย โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนนายจ้างที่ฝ่าฝืนจ้างช่างไฟฟ้าภายในอาคารที่ไม่มี หนังสือรับรองเข้าทำงาน โทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท โดยมีผลบงัคบั ใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา
สาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะตามกฎหมายคือใคร
ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ระดับ1 หมายถึง ช่างซึ่งประกอบอาชีพในงานติดตั้งระบบไฟฟ้ากำลัง แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับไม่เกิน 1,000 โวลต์ สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส หรือ 3 เฟส หรือใช้กับไฟฟ้า กระแสตรงไม่เกิน 1,500 โวลต์และอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในอาคาร การแก้ไขปัญหาข้อขัดข้อง และการตรวจสอบระบบไฟฟ้าโดยสามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานซ่อมบำรุงการใช้เครื่องมือ การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ภายในอาคาร และ หลักการใช้ทั่วไปของเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยได้ตามความสามารถในระดับชั้นที่ 1
งานใดบ้างที่ต้องขอ license ช่างไฟฟ้า
1. งานใช้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน
2. งานเดินสายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสาย
3. งานเดินสายไฟฟ้าด้วยท่อร้อยสาย
4. งานติดตั้งและต่อวงจรไฟฟ้าสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้า
5. งานต่อตัวนำไฟฟ้าแบบต่าง ๆ
6. ตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้า
ผู้ที่จะขอ license ช่างไฟฟ้า ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
1. ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคารระดับ 1
2. มีประสบการณ์การทำงานในสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคารอย่างน้อย1 ปี
3. มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่เหมาะสมในสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคาร
หลักฐานในการขอ license ช่างไฟฟ้า มีอะไรบ้าง (สำหรับองค์กรอาชีพตามมาตรา 26/4 (2))
1. คร. 11 คำขอหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ
2. รูปถ่ายขนาด 1 นิ้วจำนวน 4 รูป
3. สำเนาบัตรประชาชน
4. สำเนาหนังสือรับรองผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ
5.ใบรับรองประสบการณ์ทำงาน
6. ใบรับรองผ่านการอบรม สัมมนาและประสบการณ์อื่น ๆ
7. สำเนาวุฒิการศึกษา
ปัญหาไฟไหม้จัดเป็นปัญหาที่อันตรายร้ายแรงของโรงงานและอุตสาหกรรมทุกชนิด เพราะอัคคีภัยเกิดขึ้นกับที่ใด ย่อมมีความเสียหายตามมาไม่มากก็น้อยตามแต่ความรุ่นแรงและขนาดของการเกิดเพลิงไหม้ โดยเฉพาะเมื่อไฟไหม้เป็นเหตุให้พนักงานต้องเสียชีวิต เนื่องมาจากการไม่รู้วิธีหรือขั้นตอนการอพยพหนีไฟ นั้น จึงเป็นที่มาของบทความนี้ การซ้อมหนีไฟหรือซ้อมอพยพเวลาเกิดเพลิงไหม้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่พนักงานภายในบริษัทต้องทราบไว้ทุกคน เพราะไม่มีใครคาดคิดได้ว่า การเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้จะเกิดในวันไหน แต่การรู้ไว้จะช่วยชีวิตพนักงานเหล่านั้น เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง โดยส่วนใหญ่ของบริษัทจะซ้อมหนีไฟปีละ 2 ครั้ง หรือ 6 เดือนครั้ง และไม่ใช้แค่การซ้อมหนีไฟเท่านั้น บางบริษัทยังมีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเพลิงไหม้ การใช้ถังดับเพลิงที่ถูกวิธี การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
วัตถุประสงค์ของการซ้อมหนีไฟ
1.เพื่อให้พนักงานผู้ปฏิบัติงานทราบขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้
2.เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้สัญญาณเตือนภัย ที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
3.เพื่อให้พนักงานมีชีวิตรอดจากเหตุการณ์เพลิงไหม้
4.เพื่อเป็นการลดการสูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้
ข้อแนะนำในการซ้อมหนีไฟ
1.รู้จัดจุดรวมพล
2.แนะนำป้ายเซฟตี้ ป้ายเส้นทางหนีไฟ ให้กับพนักงานรับรู้
3.แนะนำให้พนักงานได้รู้ถึงบันไดหนีไฟ ช่องทางหนีไฟ
4.แนะนำข้อปฏิบัติในการหนีไฟตามช่องทางหนีไฟต่าง ๆ
5.แนะนำการใช้งานถังดับเพลิง
6.ซ้อมขั้นตอนการหนีไฟ
ขั้นตอนการหนีไฟ
1.จำลองสถานการณ์ไฟไหม้ เปิดเสียงกริ่งเตือนภัย
2.อพยพพนักงานทุกคนมายังจุดรวมพล ยังช่องทางต่าง ๆ
3.สำรวจเพื่อนพนักงาน และปฐมพยาบาล
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือการอย่าวางสิ่งของขวางเส้นทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟ และต้องหมั่นตรวจเช็คเส้นทางหนีไฟเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเส้นทางนั้นใช้งานได้
คนทำงานที่อาศัยอยู่บนอาคารสูง หรือมีที่ทำงานอยู่บนตึกสูง คงได้ทำการฝึกซ้อมหนีไฟ โดยหนีออกมาทางบันไดหนีไฟอยู่บ่อยครั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการเอาตัวรอด ได้อย่างปลอดภัยในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้อย่างไม่คาดคิด ทราบหรือไม่ว่าอาคารสูงหลายๆ โครงการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีความปลอดภัยไม่เพียงพอเมื่อเกิดเหตุอัคคีภัยทำให้การอพยพออกจากอาคารเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งเกิดจากการออกแบบอาคารไม่ถูกต้องจึงทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตขณะทำการอพยพ สาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดจากอัคคีภัยส่วนมากเกิดจากการต่อเติมดัดแปลงอาคาร และการใช้อาคารผิดประเภท เพราะความไม่เข้าใจในเรื่องของอัคคีภัยจึงมีการนำวัสดุที่ติดไฟมาเป็นส่วนประกอบของอาคาร หรือนำก๊าซไวไฟมาใช้ภายในอาคาร
“ เส้นทางการหนีไฟ ” มักจะเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงเสมอเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้เรามักจะได้ยินข่าวว่าประตูทางเข้าทางหนีไฟไม่สามารถเปิดใช้งานได้ เมื่อเข้าไปแล้วมีสิ่งของวางกีดขวาง มีแสงสว่างไม่เพียงพอ และเมื่อหนีไฟตามบันไดหนีไฟไปถึงพื้นราบแล้ว ปรากฏว่าประตูไม่สามารถเปิดออกได้ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้นเป็นประจำ
การอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนที่ติดอยู่ในเหตุการณ์การเกิดอัคคีภัย นอกจากเส้นทางการหนีไฟของตัวอาคารแล้ว การตัดสินใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน โดยช่วงเวลาในการตัดสินใจนั้น โดยปกติทั่วไปแล้วคนเราจะไม่กระทำการใด ๆ โดยขาดสติยั้งคิดถ้าหากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างเช่น กรณีการเกิดอัคคีภัยที่จำเป็นจะต้องอพยพผู้คนจำนวนมากจำเป็นต้องมีการตัดสินใจอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรฝึกซ้อมวิธีการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินให้แก่พนักงานเป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสามารถช่วยลดความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นต่อการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้
ปัจจุบันรถยก หรือ รถForklift เป็นเครื่องจักรที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้า เนื่องจากรถForklift สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของในพื้นที่แคบๆได้อย่างสะดวก จึงมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้การใช้งานในแต่ละกิจการอาจมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวชิ้นงานที่ทำการยก ความสูงของงานยก หรือแม้กระทั่งเรื่องของสภาพแวดล้อมในการใช้งานก็ตาม ดังนั้นผู้ผลิตจึงมีการออกแบบรถForklift ให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองให้กับผู้ใช้งานได้มากที่สุด
บทความนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อรถForklift มาใช้งาน สามารถใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกซื้อให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ยกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ควรเลือกซื้อรถForklift ที่มีขนาดพิกัดยกมากกว่าน้ำหนักชิ้นงานประมาณ 500 กก. แต่ไม่จำเป็นต้องเผื่อน้ำหนักมากเกินความจำเป็น เพราะรถForklift พิกัดยกยิ่งมากเท่าไหร่ ขนาดของตัวรถก็จะใหญ่ตามขึ้นด้วย และอาจจะตามมาด้วยเรื่องของการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
เลือกซื้อรถForklift ให้มีความสูงของเสายกที่สามารถยกได้ถึงอย่างปลอดภัย แต่อย่าลืมคำนึงถึงน้ำหนัก และขนาดของชิ้นงานด้วย เนื่องจากยิ่งยกสูงเท่าไหร่ สมดุลของรถจะยิ่งแย่ลง
รถForklift มี 2 ประเภท คือ ไฟฟ้า และ เครื่องยนต์ ดังนั้นการเลือกประเภทของรถForklift มาใช้งานต้องอิงกับสถานที่เป็นหลัก เช่น ถ้าไม่ต้องการให้มีมลพิษทางอากาศ หรือเสียงรบกวน ควรเลือกใช้แบบไฟฟ้า ถ้าต้องการใช้งานยกขนาดใหญ่ หรือกลางแจ้ง ควรเลือกประเภทเครื่องยนต์ดีเซล ถ้าเป็นงานยกในอาคารขนาดไม่ใหญ่มากนัก และต้องการค่าดูแลรักษาถูกๆ ก็เลือกใช้เป็นประเภทเครื่องยนต์เบนซิน หรืออาจติดตั้งแก๊ส LPG เพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิงก็ยังได้
ปัจจุบันมีรถForklift จำหน่าย ทั้งแบบรถใหม่ และรถใช้งานแล้ว สำหรับรถที่ใช้งานแล้ว ราคาจำหน่ายอาจถูกกว่ารถใหม่ประมาณ 50% แต่อาจต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามากกว่ารถใหม่ ดังนั้นควรคำนึงถึงเรื่องบริการหลังการขายด้วย ถ้ามีบริการมาบำรุงรักษาให้จะเสี่ยงน้อยกว่าดูแลรักษาเอง แต่ถ้ารถเกิดขัดข้องระหว่างใช้งาน แล้วส่งผลทำให้งานติดขัด มีความสูญเสีย ก็ควรลงทุนซื้อรถที่เป็นรถใหม่จากดีลเลอร์จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานที่เราจะเลือกซื้อรถForklift มาใช้งาน แต่ก็ยังมีปัจจัยรองอื่นๆอีกที่ไม่ได้พูดถึง ซึ่งอาจเกี่ยวกับงบในการซื้อ ยี่ห้อรถ โปรโมชั่น อุปกรณ์พิเศษอื่นๆ เป็นต้น ดังนั้นถ้าเราเลือกซื้อรถที่เหมาะสมมาใช้งาน มันไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องของความประหยัด ความปลอดภัยในการใช้งานก็มากขึ้นด้วย
อาจารย์ชวนะ วงศ์สหาก (เขียน / เรียบเรียง)
ในการทำงานปัจจุบันนี้เครื่องจักรมีส่วนสำคัญในหลากหลายกระบวนการผลิต อาทิ เช่น โฟล์คลิฟท์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ใช้กันมากมายในอุตสาหกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรงทอ โรงพิมพ์ หรืออุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้โฟล์คลิฟท์เข้ามามีบทบาทในการขนส่ง เครื่อนย้าย วัตถุดิบต่างๆ อย่างแพร่หลาย ซึ่งทำให้การขนส่งสะดวก สบาย มากขึ้นกว่าสมัยก่อนที่ยังใช้แรงงาน คน หรือ สัตว์ ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ แต่เมื่อมีประโยชน์มากมายแล้วนั้น โฟร์คลิฟท์ ยังส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้งานและคนรอบข้างได้อย่างรุนแรง ในฐานะผู้ฝึกสอนการขับโฟร์คลิฟท์ จึงเขียนบทความเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รู้จักส่วนประกอบของรถโฟล์คลิฟท์ และตรวจสอบส่วนต่างๆก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
1. เสารถโฟล์คลิฟท์ (Mast) คือ อุปกรณ์รางเลื่อนสำหรับให้ส่วนของงาขึ้น-ลง โดยทั่วไปเสารถโฟล์คลิฟท์จะมี 2 ท่อน ซึ่งยกได้ประมาณ 3 เมตร แต่ถ้าต้องการยกได้สูง 5-6 เมตร จะต้องเปลี่ยนเสาให้สูงขึ้น หรือใช้เสา 3 ท่อน (Full Free Mast) เสา 3 ท่อน คือ อุปกรณ์พิเศษของเสา เป็นเสาที่สามารถนำไปใช้ในสถานที่ที่มีความจำกัดได้
2. งารถโฟล์คลิฟท์ (Fork) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ยกสิ่งของต่างๆ และงายังเป็นอุปกรณ์ที่ "อันตราย" ที่สุด งานของรถโฟล์คลิฟท์มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของสิ่งของที่ต้องการยก
3. กระบอกไฮดรอลิค (Hydraulic) โดยมาตราฐานรถโฟล์คลิฟท์จะมีกระบอกไฮดรอลิคอยู่ 3 ชุด ดังนี้
3.1) กระบอกยก คือ กระบอกไฮดรอลิคที่ทำหน้าที่ยกงาขึ้นลง มี 2 กระบอก
3.2) กระบอกคว่ำ-หงาย คือ กระบอกไฮดรอลิคที่ทำหน้าที่เอียงเสาไปหน้าและหลัง มี 2 กระบอก
3.3) กระบอกบังคับเลี้ยว คือ กระบอกไฮดรอลิคที่ทำหน้าที่บังคับการเลี้ยวของรถโฟล์คลิฟท์ ในส่วนนี้จะมีกระบอกเดียว
4. ล้อหน้า (Front Wheel) คือ ล้อที่มีหน้าที่ 3 ประการ ดังนี้
4.1) รับน้ำหนักบรรทุก หรือ ล้อโหลด
4.2) ขับเคลื่อน
4.3) เบรค
5. ล้อหลัง (Rear Wheel) คือ ล้อที่ทำหน้าที่บังคับเลี้ยวเพียงอย่างเดียว
ถ้ากล่าวถึงแบตเตอร์รี่นั้น อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการชาร์จ ดังนั้นควรชาร์จแบตเตอรี่ต่อเมื่อกระแสไฟใกล้จะหมดเท่านั้น และในการชาร์จแต่ละครั้งต้องชาร์จต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ไม่ควรชาร์จแบบถอดเข้าถอดออก บริเวณที่ใช้เป็นที่ชาร์จแบตเตอรี่จะต้องเป็นสถานที่ที่อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี เนื่องจากในขณะที่ชาร์จ น้ำกลั่นจะระเหยออกมาทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศได้หากอยู่ในที่อับ ก่อนทำการชาร์จแบตเตอรี่ ต้องเปิดฝาจุกน้ำกลั่นทุกครั้ง เพื่อตรวจเช็คระดับน้ำกลั่นว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และตรวจสอบสภาพปลั๊กไฟว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุด หรือแตกร้าว หรือถ้าชำรุดต้องดำเนินการแก้ไขก่อนทำการชาร์จจะต้องเสียบปลั๊กของแบตเตอรี่กับตู้ชาร์จให้แน่น เพื่อไม่ให้เกิดการอาร์คหรือช๊อตของกระแสไฟจะต้องตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ สายไฟ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ ถ้าพบว่าขั้วแบตเตอรี่ และผิวของแบตเตอรี่สกปรก มีขี้เกลือให้ทำความสะอาดด้วยน้ำร้อน และเช็ดให้แห้ง ดังนั้น ผู้ที่ทำการขับขี่จึงต้องเป็นผู้ตรวจสอบในชิ้นส่วนต่างๆของโฟล์คลิฟท์เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
Text Neck Syndrome โรคปวดคอจากการใช้สมาร์ทโฟน สำหรับเทคโนโลยี คือ สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ แต่เราจะต้องอยู่กับมันโดยคำนึงถึงสุขภาพที่ดีด้วย
ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกสูงถึง 5 พันล้านคน ซึ่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพตามมาจากท่าทางการก้มหน้าเล่นมือถือ และก็กำลังจะเด่นชัดขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Text Neck Syndrome แล้วว่าแต่... Text Neck Syndrome มันคืออะไร?
Text Neck Syndrome คือ อาการปวดเมื่อยบริเวณกระดูกสันหลังช่วงต้นคอ บ่า ไหล่ จนถึงกลางหลัง ทำให้เสียบุคลิกภาพ หลังห่อคอตก และอาจร้ายแรงทำให้เกิดปัญหากระดูกคอทับเส้นประสาทได้ … ว่าแต่ Text Neck Syndrome มันเกิดจากอะไร ?
Text Neck Syndrome เกิดจากกระดูกสันหลังช่วงต้นคอต้องรับน้ำหนักมากเกินกว่าปกติ จากการทำกิจกรรมหนึ่งๆ เป็นเวลานานๆ เช่น การก้มหน้าเล่นมือถือ ตลอดเวลา การขับรถในระดับที่ไม่เหมาะสม หรือ การนั่งทำงานหน้าจอต่างๆ ในระดับที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการก้มหน้านั้น ยิ่งถ้าเราก้มมาก ต้องยิ่งรับน้ำหนักมากกว่าปกติ กล่าวคือ เช่น
- การก้มหน้า 30 องศา จะเพิ่มแรงกดทับถึง 18 กิโลกรัม
- การก้มหน้า 45 องศา จะเพิ่มแรงกดทับถึง 22 กิโลกรัม
- การก้มหน้า 60 องศา จะเพิ่มแรงกดทับเกือบ 6 เท่าจากปกติหรือประมาณ 27 กิโลกรัม
ดังนั้น สำหรับคนที่ชอบก้มหน้าเล่นมือถือบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ยืน เดินหรือนั่ง แล้วรู้สึกมีอาการปวดที่ต้นคอ ปวดบ่า ปวดหลัง แบบ Text Neck Syndrome ละก็ ต้องปรับปรับพฤติกรรมโดยด่วน เพราะถ้าหากปล่อยให้มีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดเลยทีเดียว
อนึ่ง การบริหารยืดหยุ่น ต้นคอ บ่า ไหล่ ก็อาจจะช่วยลดการส่งผลกระทบสุขภาพน้อยลง แต่อย่างไรก็จะต้องดูแลสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกาย และพักการใช้มือถือบ้าง เป็นระยะ ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี
ที่มา : Multimedia.Scump Thaihealth.Sannook
ระบบอินเวอร์เตอร์ คือระบบควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ที่จะแปลงไฟกระแสสลับ (AC) จากแหล่งจ่ายไฟทั่วไปที่มีแรงดันและความถี่คงที่ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC) โดยวงจรคอนเวอร์เตอร์ (Converter Circuit ) จากนั้นไฟกระแสตรงจะถูกแปลงเป็นไฟกระแสสลับที่สามารถปรับขนาดแรงดันและความถี่ได้โดยวงจรอินเวอร์เตอร์ (Inverter Circuit) การทำงานของเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์จะแตกต่างจากเครื่องปรับอากาศทั่วไป ตรงที่อินเวอเตอร์เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงถึงระดับที่ตั้งไว้ หลังจากนั้น คอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงานลงเพื่อคงอุณหภูมิภายในห้องให้คงที่ตลอดเวลาในขณะที่เครื่องปรับอากาศที่ไม่ใช่อินเวอร์เตอร์ เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงต่ำกว่าระดับที่ตั้งไว้ประมาณ1-2 องศา หลังจากนั้น คอมเพรสเซอร์จะตัดการทำงาน จากนั้นอุณหภูมิจะค่อยๆสูงขึ้น เกินระดับที่ตั้งไว้ 1-2 องศา คอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานอีกครั้ง ทำให้อุณหภูมิภายในห้องจะเย็นเกินไป สลับกับร้อนเกินไปอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลานอนหลับ จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
แอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์จะมีการประพยัดพลังงานมากกว่า เนื่องจากเมื่อความเย็นมาถึงจุดที่กำหนด คอมเพรสเซอร์จะทำงานช้าลง เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนระบบจึงไม่ต้องรีเซ็ตระบบใหม่ เพียงแต่เพิ่มรอบการทำงานมากขึ้น ซึ่งระบบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ของแอร์อินเวอร์เตอร์นั้นจะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นด้วย นอกจากประเด็นเรื่องของความประหยัดแล้ว แอร์ที่มีระบบอินเวอร์เคอร์ยังมีความเงียบมากกว่าแอร์ธรรมดา เนื่องจากแอร์อินเวอร์เตอร์ใช้วิธีการลดรอบการทำงานลงในขณะที่ความเย็นคงที่แล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนอุณหภูมิแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์เพียงแค่เพิ่มรอบการทำงานเท่านั้น เมื่อเทียบกับแอร์ธรรมดาที่จะรีเซ็ตการทำงานใหม่เมื่ออุณหภูมิในห้องเปลี่ยนจะทำให้เกิดเสียงดัง เพราะฉะนั้นแอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์จึงเงียบกว่ามาก สำหรับข้อเสียของแอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์จะมีราคาแพงมากกว่าแอร์ธรรมดา เนื่องจากระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อนมากกว่า ดังนั้นหากต้องการซื้อแอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์จะต้องทำการหาข้อมูลให้ละเอียดก่อนเพราะหมายถึงการลงทุนที่สูงกว่า นอกจากนี้ตัวอะไหล่ก็มีราคาที่สูงเช่นกัน มันจึงส่งผลให้การซ่อมบำรุง การดูแลรักษามีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อมองถึงระยะยาวจะมีความคุ้มค่าในแง่ของการจ่ายค่าไฟฟ้าที่ถูกลงด้วยแอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากกว่านั่นเอง
อาจารย์ยงยุทธ แจ่มเสียง (เขียน / เรียบเรียง)
1. ต้องทราบถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดจากเพลิงไหม้ ในสถานประกอบกิจการ
2. เสนอแนะระบบตรวจสอบสถานประกอบกิจการ ให้อยู่ในสภาพที่ปราศจากปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัย
3. ส่งเสริมและกระตุ้นให้พนักงานเกิดความระมัดระวังการเกิดอัคคีภัย รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการป้องกันอัคคีภัย
4. เสนอแนะระบบตรวจสอบ ทบทวนแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย เพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอ รวมทั้งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบดับเพลิง
5. เสนอแนะระบบการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องดับเพลิงแบบมือถือ ระบบน้ำดับเพลิง ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบแสงสว่างฉุกเฉิน และอุปกรณ์เตือนต่าง ๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด และดูแลให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงที่เหมาะสม
6. เสนอแนะระบบการตรวจสอบสถานที่ที่มีการเก็บรักษาวัตถุไวไฟ หรือวัตถุระเบิดให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ สารที่ติดไฟหรือเชื้อไฟควรมีไว้ในบริเวณที่ทำงานเท่าที่จำเป็นสำหรับใช้งานเท่านั้น และจะต้องเก็บส่วนที่เหลือใช้ไว้ในที่ที่ปลอดภัยหลังจากเลิกใช้แล้วทุกครั้ง สารไวไฟควรเก็บไว้ในสถานที่ปลอดภัยที่กำหนดไว้เท่านั้น ที่เก็บดังกล่าวจะต้องอยู่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดของประกายไฟ และควรมีอุปกรณ์ดับเพลิงประจำอยู่ด้วยเสมอ
7. เสนอแนะระบบการตรวจสอบของเสียที่ติดไฟได้ง่าย ไม่ให้มีการสะสมหรือตกค้างและมีระบบกำจัดที่เหมาะสม
8. เสนอแนะระบบการตรวจสอบทางหนีไฟและเส้นทางออกต่าง ๆ รวมถึงบันได ประตูต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง ต้องไม่มีการกอง สุม หรือเก็บวัตถุใด ๆ กีดขวางการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันและระงับอัคคีภัย
แรงบันดาลใจ ในงานเขียนนี้ หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับเพื่อนๆนักดำน้ำว่าด้วยเรื่อง วิชาหนีตาย เขียน เพราะไม่อยากให้กลัว และที่กลัวกันเพราะประเมินไม่ออก อ่านแล้วน่าจะสบายใจขึ้น ดำน้ำไม่ใช่เรื่องอันตรายถ้าระมัดระวัง และมีการเตรียมการที่ดี แค่อย่าอวดเก่งกับธรรมชาติ ผมเคารพ และคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาที่วางแผนการดำน้ำ เส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่ทำได้ กับทำไม่ได้ ต้องประเมินให้ถูก ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ ซึ่งหลายครั้งอาจขัดใจนักดำน้ำ แต่เราก็กลับมาภูมิใจทุกครั้งว่าทุกคนสนุก และปลอดภัย คำถาม แล้วเราจะดำน้ำกันทำไม อันนี้ไม่รู้จริงๆ ต้องถามตัวคุณเอง แต่ผมจะดำอ่ะ
1. นกหวีด ฟังดูดีแต่ไม่ได้ผลหรอกจะบอกให้ เป่าให้ตายเรือก็ไม่ได้ยิน เพราะเสียงเครื่องเรือระยะห่างที่อยู่ไกล ไร้จุดสะท้อนเสียง และเสียงความวุ่นวายบนเรือที่มุ่นมั่นจะหาเรา
2. การทำใจเย็น ลอยคอ รอเรือมารับ คิดว่า เรือคงเห็นเราแล้ว คุณคิดผิด เรือไม่เห็นคุณหรอกยิ่งถ้าคลื่นลมแรง หัวคุณก็เท่ากับ ลูกมะพร้าว ร่องรอยไร้ทิศทาง แย่ล่ะ แล้วจะเอาอะไรมาทำให้เรา ปลอดภัย อยู่ถูกที่ถูกทางกันล่ะทีนี้ ใจเย็นๆครับ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิดตามกันไป
อันดับแรก ก่อนลงดำน้ำทุกครั้งมองหาทางหนีทีไล่ เมฆฝน คลื่นลม จุดส่ง และจุดรับกลับ ตกลงกับเรือให้แน่นอน ประเมินกระแสน้ำทันทีที่ คุณโดดพ้นออกจากเรือ ว่าน้ำไหลไปทางไหนกันแน่ตรงกับแผนการที่เราวางเอาไว้กับเรือ หรือไม่
ต่อมา เส้นทางการดำน้ำของเรา ถูกต้องอิงอยู่กับ เส้นทางที่วางแผนเอาไว้จริงๆหรือไม่ ตราบใดที่คุณอยู่ถูกที่ ถูกทาง มันก็ง่ายสำหรับเรือที่จะรับคุณกลับ ยิ่งถ้าดำอยู่กับแนวเกาะ หรือ แนวปะการังที่ชัดเจน ยิ่งมั่นใจได้ว่า ไม่หลงออกนอกเส้นทาง การดำชิดติดเกาะไว้ ฉุกเฉินก็ยังปีนขึ้นเกาะได้ด้วย
กรณีคลื่นลมแรง อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากมายคือ ทุ่นสัญญาณ ฝรั่งเรียก Float หรือ Safety Baloon ก็ตาม แนะนำว่า เป็นชนิดผ้าเท่านั้นนะครับ แบบที่เป็นพลาสติกมันของเด็กเล่นที่จริงไม่ควรผลิตมาเป็น อุปกรณ์ Safety ของมนุษย์ด้วยซ้ำ อุปกรณ์ชิ้นนี้ผมให้เครดิต เต็มที่เลยครับ เพราะมีประโยชน์จริงๆ เรือมองเห็นได้ง่าย อย่างน้อยก็ดีกว่าเป่านกหวีด ยิ่งถ้ามีไฟฉายดีๆ ซักกระบอกก็จะช่วยได้มาก ส่องไปที่เรือ หรือกระพริบให้สัญญาณ (เวลากลางคืน เอาไฟฉายสอดเข้าไปใน Float จะทำให้ Float เปล่งแสงสีแดงได้อีกด้วย)
สุดท้าย ถ้ามันฉุกเฉินจริงๆ หลุด หลง หาย จำไว้ว่าคุณมีเวลาประมาณ 3-4 ชั่งโมงก่อนที่ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะช็อค จากความหนาวเย็น Hypothermia ฉะนั้นเพื่อใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุดคุณต้องเตรียมตัวดังนี้
1. ปลดตะกั่วทิ้งไปเลย เราไม่ใช้แล้วแน่นอน
2. ปลดถังดำน้ำออกไปให้เหลือแต่ เสื้อ Bcd เอาไว้( ฮ.จะดึงตัวคุณง่ายขึ้นถ้าเค้าเจอ) หรือถ้าไม่ปลดถังทิ้ง ต้องปล่อยอากาศออกให้หมด Tank จะลอยน้ำได้ ช่วยคุณอีกทาง
3. เก็บหน้ากาก+ท่อหายใจเอาไว้ที่คอเสมอ
4. ถ้าหลงเป็นกลุ่ม ให้เอา สาย Regulator มัดติดกันไว้เป็นแพ เพื่อเราเพลียเผลอหลับกันไป
5. กอดกันไว้เป็นวงกลม แต่ถ้าอยู่คนเดียว ให้นอนหงาย
6. เตรียมตัวเข้าสู่ความมืด การติดไฟฉายไว้เป็นประจำใน Bcds จะช่วยคุณได้มาก ถ้าให้ดีพกกระจกฉุกเฉินไว้ สะท้อนแสง เรียก เรือ เรียก ฮ. จะดีมาก ๆ ไฟฉาย และกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ในเวลากลางคืน
7. ถ้าโชคดีกระแสน้ำพัดพาไปเจอเกาะ และยังเหลือแรงว่ายเฮือกสุดท้ายต้องออกแรงว่ายครับ เพราะถ้าขึ้นเกาะได้คุณรอดแน่นอน
ท้ายนี้หวังว่า จะไม่มีใคร ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้นะครับ แต่ก็อย่างว่า รู้ไว้ใช่ว่า
อาจารย์สุริยนต์ ไตรยวุฒิ (เขียน / เรียบเรียง)